เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๔ ก.ค. ๒๕๕๘

 

เทศน์เช้า วันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๕๘
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ เราขวนขวายมาไง เราขวนขวายมาเพื่อบุญกุศลของเรา แต่คนเขามองไม่ออกนะ เขาว่ามันเป็นบุญได้อย่างไร มันเป็นบุญเพราะว่าค่าของน้ำใจไง ค่าของน้ำใจเราเสียสละ การเสียสละเสียสละทานนะ ทาน เวลาเรามีความทุกข์ยากในหัวใจเราก็อยากจะไม่ให้มีในหัวใจของเรา เราจะมีความสุข ความสงบของเราในหัวใจของเรา แต่ในหัวใจของเรามันทำไมไม่สมความปรารถนาล่ะ

มันไม่สมความปรารถนาเพราะว่าหัวใจเรา พันธุกรรมของจิตๆ ถ้าใจของใคร ใครได้ฝึกฝนมา ใครได้ทำคุณงามความดีมานะมันคิดแต่เรื่องดีๆ ไง มันคิดแต่เรื่องดีๆ ถ้าสิ่งใดไม่ดีมันเข้ามาในหัวใจมันปฏิเสธ มันรู้จักคัดรู้จักแยก แต่มันเกิด มันเกิดเป็นธรรมดา เพราะอวิชชา อวิชชาคือความไม่รู้ เหมือนเด็ก เด็กมันปล่อยสิ มันเล่นสะเปะสะปะตามประสามัน แล้วมันวิ่งเล่นของมันด้วยความสนุกสนานของมันนะ มันไม่รู้ว่ามันจะมีภัยและไม่มีภัยสิ่งใดๆ เลย นั่นประสาเด็ก

นี่ก็เหมือนกัน หัวใจก็เหมือนกัน หัวใจมันขวนขวายของมัน มันดิ้นรนของมัน มันก็คิดว่าประสบความสำเร็จของมันตลอดไปไง มันดิ้นของมันอยู่อย่างนั้นแหละ เพราะเราไม่สามารถมีสติมีปัญญาแยกแยะได้ ถ้ามีสติมีปัญญาแยกแยะได้เพราะเราเริ่มต้นตั้งแต่ทาน ทาน ศีล ภาวนา เรารักษาของเรา เราดูแลหัวใจของเรา ถ้าหัวใจของเรามีสติมีปัญญา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกภิกษุไว้ตั้งแต่ท่านปรินิพพาน คำสุดท้ายเลย ภิกษุทั้งหลาย เธอจงพิจารณาสังขารด้วยความไม่ประมาทเถิด คำว่าไม่ประมาทมันก็ตรงข้ามกับความประมาทก็คือมีสติ มีสติ มีสัมปชัญญะขึ้นมาเราดูแลหัวใจของเราได้

ฉะนั้น พอเราจะมาถือศีล พอทำทานเสร็จแล้วเราจะรักษาศีล รักษาศีล ศีลทำได้ลำบาก ทำได้ยาก ทำทุกอย่างเพราะมันไม่เคย แต่คนที่เขาปกติขึ้นมา เขาเกิดมานะเขาไม่ฆ่าสัตว์ เด็กบางคนมันไม่ยอมกินเนื้อสัตว์ ไอ้นี่มันคืออะไรล่ะ เขาทำของเขามา เขาเป็นของเขามาตั้งแต่ในใจเลย มันเป็นในใจมาเพราะเขาทำของเขามา มันก็เป็นเรื่องปกติเรื่องธรรมดา แต่พอเราจะมาฝืนใจๆ ทำของเราๆ ทำอะไรมันทำได้ยากหมดแหละ พอมันทำได้ยากหมด เวลาทำไปมันก็เทาๆ เวลาถือศีล เวลาจะประพฤติปฏิบัติกันก็ถือศีลนะปฏิบัติกันเป็นเทาๆ

ดูทางโลกเขา ธุรกิจสีเทาๆ เขาทำของเขาไป พอมันไม่มีสิ่งใดมันจะได้ผลประโยชน์ของมันเพราะว่าไม่มีสิ่งใดครอบงำ ไม่มีกฎหมายติดตามเช็คไม่ได้ถนัด เพราะธุรกิจสีเทาๆ ทำอะไรก็ได้ครึ่งๆ กลางๆ ทำครึ่งๆ กลางๆ มันเป็นอย่างนั้นแหละ จะว่าผิดก็ไม่ผิด จะว่าถูกก็ไม่ถูก จะว่าถูกต้องก็ไม่ใช่ จะว่าผิดก็ไม่ผิด ไม่ผิดเพราะอะไร ไม่ผิดเพราะมันไม่มีกฎหมายครอบงำ ยังไม่มีกฎหมายไง กฎหมายยังไม่บัญญัติไว้ สังคมมันล่วงหน้าไปก่อน มันทำอะไรมันก็ไม่ผิดเพราะมันไม่มีกฎหมาย แต่เวลามันเห็นโทษขึ้นมาแล้ว มันบัญญัติกฎหมายมันก็ผิด ถ้าเราไม่สีเทาๆ

ศีลไง ศีลของเรา ศีลองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติไว้แล้ว ถ้าบัญญัติไว้แล้วเราจะรักษาสิ่งนั้น ถ้ามันเป็นเทาๆ เทาๆ เพราะกิเลสของเรามันเทาๆ เทาๆ จะได้ผลประโยชน์ไหม ได้ ได้ผลประโยชน์เหมือนกันเพราะว่าถ้าไม่ทำสิ่งใดเลย ดูคนสิคนหนา คนหนาเขาไม่เห็นหัวใจของใคร เขาทำอะไรเพื่อใจของเขาคนเดียว เขาทำอะไรเพื่อประโยชน์ของเขาคนเดียว เขาทำอะไรกระทบกระเทือนใครนั่นแหละคนหนา

เวลาคนที่มีสติมีปัญญาจะรักษาคุณงามความดีของเรา คุณงามความดีของเราคือเราไม่เบียดเบียนใคร ไม่เบียดเบียนใครแล้วถ้ามีสติปัญญามากขึ้นมันจะไม่เบียดเบียนตนเอง ถ้าไม่เบียดเบียนตนเอง ไม่เบียดเบียนตนเองตรงไหน ไม่เบียดเบียนตนเองตรงที่มันคิด มโนกรรม มโนกรรมที่มันคิดขึ้นมา มันคิดขึ้นมา ธรรมะจะเข้ามาแทรกตรงนี้ ถ้าธรรมะมันถึงที่สุด เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาต้องเอาจิตปฏิบัติ ถ้าจิตมันไม่สงบระงับเข้ามามันปฏิบัติด้วยความคิด

ความคิดที่เราคิดกันอยู่นี้ เวลาเราคิดขึ้นมา เราคิดขึ้นมา เราคิดแล้วเราคิดแต่เรื่องดีๆ คิดแต่เรื่องดีๆ มันก็สบายใจ แต่มันเป็นการปฏิบัติธรรมหรือยัง มันไม่เป็นการปฏิบัติธรรมเพราะมันทำความสงบของใจยังไม่ได้ ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าเกิดมีสมาธิขึ้นมาถึงทำของเขาได้ ประเพณีวัฒนธรรม ประเพณีวัฒนธรรม คนดี คนมีสติปัญญา คนดี คนมีสติปัญญาทางโลกเขาก็เป็นคนดีของเขา ถ้าคนดีของเขา คนดีทางโลกของเขา คนดีอย่างนี้พอหรือยัง

คนดีทางโลกพอ เขาพอใจแล้ว พอใจว่าสังคมสงบร่มเย็น สังคมต้องการนักปราชญ์ ต้องการผู้นำสังคม ถ้าผู้นำสังคมที่ดี แต่เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา คนที่เขาโต้แย้งเขาไม่เห็นด้วยแล้ว จะพากันขี้เกียจแล้ว เวลาทำการทำงานขึ้นมาเราจะแสวงหาเพื่อประโยชน์ของเรา ไอ้นี่จะมานั่งเฉยๆ จะเดินจงกรมอยู่คนเดียวมันจะเป็นประโยชน์สิ่งใด มันโต้แย้งแล้ว มันว่าไม่เป็นประโยชน์ แต่อาบเหงื่อต่างน้ำแบกหามนั้นเป็นประโยชน์ เป็นประโยชน์เพราะมันมีผลงานของมันขึ้นมาไง

แต่เวลาครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นมานะ อัตตสมบัติ สมบัติส่วนตนๆ เป็นปัจจัตตัง สันทิฏฐิโกจะเอามาอวดใครได้อย่างไร แต่มันอวดไม่ได้ อวดไม่ได้เพราะมันเป็นสมบัติเฉพาะตน มันเป็นสมบัติภายใน แต่เวลาศึกษา เวลาเราสนทนาธรรมนั่นล่ะรู้แล้ว เวลามันอวดไม่ได้แต่มันรู้จริง รู้จริงแต่มันพูดออกมา คนมีปัญญาไง เราเห็นเด็กไหม เด็กเวลามันพูดอะไรแทงใจขึ้นมาสะอึกเลยล่ะ ทำไมมันพูดได้ล่ะ มันมีปัญญาของมัน มีเชาวน์ปัญญาของมันไง มันพูดออกมา คนโง่ คนฉลาดอยู่ที่การแสดงออกนั่นแหละ ถ้ามันแสดงออกมา

นี่ก็เหมือนกัน หัวใจถ้ามันมีคุณธรรมในหัวใจ เวลามันแสดงออกมา นั่นไงแสดงออกได้อย่างนี้ไง ถ้าแสดงออกมันถึงไม่เทาๆ มันชัดเจน ถ้ามันชัดเจนทางโลกเขาเทาๆ กัน ถ้าเรื่องเทาๆ เราจะมาถือศีลก็เทาๆ จะว่าผิดก็ไม่ผิด จะว่าถูกก็ไม่ถูก แล้วมันไม่มีความมั่นใจ แต่ถ้าเรามีความมั่นใจของเรา พุทธานุสติ เรากำหนดพุทโธ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิของเรา ทำไมต้องพุทโธ ทำไมต้องใช้ปัญญาอบรมสมาธิ เพราะเราหาตัวตนของเราไง

เวลาทุกคนจะถามว่าเรามาจากไหน เรามาจากไหน เกิดเกิดมาจากใคร ก็เกิดจากพ่อจากแม่ทางโลกทั้งนั้นแหละ ถ้าเรามาจากไหนๆ แล้วจิตมันสงบเข้าไป พอจิตมันสงบถ้ามันเทาๆ นะมันสบายๆ แต่มันเทาๆ มันสบายๆ ว่าไม่เป็นประโยชน์ก็เป็นไง นี่ไงที่ว่าเวลาปฏิบัติ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ฟากตาย เราทำจริงทำจังกันมามันจะเป็นประโยชน์กับเราตามความเป็นจริง ถ้าเวลาปฏิบัติมามันสบาย มันสบาย

ก็คำว่าสบายๆ นี่แหละ ทุกคนไปติดคำว่าสบายๆ แล้วเวลาปฏิบัติเคร่งเครียด ปฏิบัติแล้วมันทุกข์มันยาก ปฏิบัติอย่างนี้ไม่ถูกต้อง ปฏิบัติต้องสบายๆ เหมือนคนไม่เอาถ่าน คนไม่เอาถ่านพ่อแม่เป็นทุกข์นะ พ่อแม่อยากให้ลูกเราเป็นคนดีนะ มันไม่เอาถ่าน มันสบายของมันนะ วันๆ มันอยู่สบายของมัน แต่พ่อแม่ทุกข์มากเลย ถ้าลูกเราเป็นอย่างนี้มันจะอยู่ได้อย่างไร แต่มันสบายของมัน

นี้จิตของเราก็เหมือนกัน เวลาเราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ดูสิเวลากิเลสมันบีบคั้นหัวใจ มันทุกข์มันยากอย่างนี้ แล้วเรามีปัญญาอบรมสมาธิ ปัญญาคือแยกแยะความรู้สึกนึกคิด คิดอย่างนี้มันดีหรือชั่ว คิดอย่างนี้มันมีความทุกข์หรือความสุข คิดอย่างนี้ ปัญญาอบรมสมาธิ พอมันปล่อยมันก็สบายๆ มันสบายๆ แล้วเดี๋ยวมันก็เสวยอีก เดี๋ยวมันก็คิดอีก ความคิดมันหยุดไม่ได้ ถ้าความคิดมันหยุดไม่ได้ เว้นไว้แต่มีสติ มีสติเวลากำหนดพุทโธ พุทโธ พุทโธถ้ามันสงบเข้ามามันหยุดได้ หยุดได้เพราะอะไร หยุดได้เพราะจิตมันมีคำบริกรรม มันมีที่เกาะของมัน

เวลามันมีที่เกาะ เกาะในที่เดียว เกาะในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เกาะในพุทธะ พุทโธ ธัมโม สังโฆ พุทธานสุติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติเกาะนี้ไว้ เกาะจนมันชำนาญ เกาะจนมันทรงตัวมันได้ เกาะมันทรงตัวมันได้มันไม่คิดอะไรเลย ถ้ามันไม่คิดอะไรเลย ถ้าไม่คิดอะไรมันต้องมีกำลัง ถ้าไม่คิดอะไรมันต้องมีความสุข สัมมาสมาธิ ในปัจจุบันขณะที่ประพฤติปฏิบัติกัน สมาธิยังทำกันไม่เป็น สมาธิยังทำกันไม่ได้ พอสมาธิทำกันไม่ได้ แบบว่าด่วนได้ เวลาปฏิบัติไปอยากได้ก่อนก็พิจารณา พิจารณามันก็ว่างๆ

มันก็ว่างๆ จริงๆ ว่างๆ อย่างนั้น ว่างๆ อย่างนั้นมันต้องมีสติ ถ้าว่างอย่างนั้น ถ้าพิจารณาไปว่างๆ มันปล่อยมาเราเห็น เราต้องเห็นนะว่าเราวางอะไร เวลาอารมณ์ความรู้สึกนึกคิด เวลาเราวางแล้วมหัศจรรย์นะ มันมหัศจรรย์ตรงไหน มหัศจรรย์ว่าเราเกิดมาจากไหน มันเกิดมาจากไหน เราไปเห็นจิตของเรา อ๋อ จิตมันเป็นอย่างนี้ ความคิดนี้มันเป็นอย่างนี้ หลวงปู่หลุยท่านบอกว่าความคิดที่เป็นอดีตมาเหมือนเราขากเสลดทิ้งไปแล้วไปเลียกินมัน เขาเห็นอย่างนั้น เขาพูดอย่างนั้นได้อย่างไร เขาเห็นอย่างนั้นได้ เขาพูดอย่างนั้นได้เขาเห็นโทษของมันไง

ดูสิน้ำลายที่เราบ้วนทิ้งไปแล้ว แล้วเราไปเลียขึ้นมากินมันน่ารังเกียจไหม เราทำไม่ได้หรอก เราทำไม่ได้ แต่เวลาอารมณ์ทำไมทำได้ เวลาความคิด คิดแล้วคิดเล่าๆ คิดแล้วก็เหมือนกัน เหมือนกับเราไปเลียกินของที่เราทิ้งไปนั่นล่ะ อารมณ์ความคิดที่มันเกิดมาแล้ว ที่มันเกิดมาแล้วมันผ่านไปแล้ว มันอดีตไปแล้วมันมีความกระทบกระเทือนหัวใจ เราไปดึงมาทำไม เราไปดึงมาทำไม เราโง่หรือใครโง่

ถ้าเราไม่ได้ประพฤติปฏิบัติเราไม่ใช่คนโง่ มันจะอวดตัวอวดตนว่าเราฉลาด อ้าว ก็ปัญญาไง ก็เราคิดไง เรามีปัญญา เราแยกแยะ เราค้นคว้า เราเป็นปัญญาทั้งนั้นแหละ ถ้ามันเป็นโลกียปัญญา มันเป็นทางโลกมันอวดตัวอวดตนอย่างนั้น แต่ถ้าเรานักปฏิบัติ เวลาปฏิบัติเรากำหนดพุทโธ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิมันปล่อยเข้ามา พอมันปล่อยเข้ามา มันจะปล่อยได้ต่อเมื่อมันมีเครื่องเกาะ มีพุทโธ มีธัมโม มีสังโฆ หรือใช้ปัญญาอบรมสมาธิ จิตมันเกาะไปด้วยมันจะทรงตัวมันเองไม่ได้ ครูบาอาจารย์ท่านเปรียบเหมือนน้ำใส น้ำถ้าอยู่ในแก้วเหมือนไม่มีน้ำเลย ถ้าเติมสีเข้าไปเราจะเห็นว่าในแก้วนั้นมีน้ำ

นี่ก็เหมือนกัน เวลาจิตมันน้ำใส จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส เวลามันหมองไปด้วยอุปกิเลสก็มันคิดไง พอมันคิดขึ้นมามันก็เหมือนกับน้ำเติมสี สีอะไรล่ะ สีอะไรที่มันแสบร้อน สีอะไรที่มันร่มเย็นล่ะ สีอะไรมันเสวยๆ อย่างนี้ไง ถ้าเราทำความสงบของใจเข้ามาแล้วมีสติปัญญามันจะเห็นได้อย่างนี้ ถ้าเห็นได้อย่างนี้นะจิตเห็นอาการของจิต สิ่งที่เป็นความคิดเป็นอาการของมันทั้งหมด อาการของใจๆ ไม่ใช่ใจ แม้แต่คำว่าว่างๆ ที่เราว่างๆ นั่นก็อาการของมัน เพราะเราคิดว่าว่าง มันเป็นอาการไง มันเป็นอาการไม่ใช่ตัวเรา ถ้าไม่ใช่ตัวเราเราจะทรงตัวเองไม่ได้ใช่ไหม แต่ถ้าเราเป็นล่ะ เราเป็นกับอาการเป็นแตกต่างกัน อาการคือสิ่งที่มันเกิดขึ้นมันเป็นเงาไม่ใช่ตัวจริง

นี่ก็เหมือนกัน พอมันไม่เป็นตัวจริงแล้วทำอย่างไร มันทำอย่างไรถึงให้รู้แจ้ง ถ้ามันรู้แจ้งขึ้นมามันก็จะเป็นความจริงอย่างนี้ ถ้ายังไม่รู้แจ้งเราก็ฝึกหัด ผู้ที่มาประพฤติปฏิบัติมาฝึกหัด ฝึกหัดอย่างนี้ ฝึกหัดต้องมีสติ มีศรัทธา มีสติ มีปัญญาของเรา มีศรัทธาความเชื่อ ถ้ามีสติปัญญา เวลาทำก็ทำจริงๆ จังๆ ขึ้นมา ถ้าเรามีศรัทธามีความเชื่อ แต่เรายังทำเป็นสีเทาๆไง เทาๆ เพราะมันไม่มีความชำนาญ เทาๆ เพราะเรายังไม่รู้ไง เพราะเรายังไม่รู้มันเป็นเทาๆ

เทาๆ มันว่าจะไม่ใช่มันก็ใช่ จะว่าใช่มันก็ไม่ใช่ มันไม่ใช่เพราะอะไร เพราะมันไม่มีกำลัง มันเดินต่อไปไม่ได้ แต่ถ้าศีล สมาธิ ปัญญา เพราะมีสมาธิ เพราะจิตมันจริง จิตมันจริงเวลาเกิดมรรค เกิดผลมันก็เกิดมรรคเกิดตามข้อเท็จจริง จิตมันไม่จริง จิตมันเทาๆ เวลามันเกิดมรรค เกิดผลขึ้นมาก็เทาๆ พอเทาๆ ขึ้นมา พอเราเอาจริงเอาจังขึ้นมาจับต้องไม่ได้ เอาจริงเอาจังขึ้นมามันไม่เป็นจริงขึ้นมา

แต่ในปัจจุบัน ในปัจจุบันที่มันเป็นสบายไหม สบาย สบายเพราะอะไร สบายเพราะเราวางอารมณ์ อารมณ์แบกหามมาทุกข์มายากขนาดนี้แล้วเราวางลงทำไมมันไม่สบาย แต่มันวางลงมันควรจะทำให้มันชัดเจนไง ถ้ามันชัดเจน ถ้าเป็นศีล ศีลก็ศีลด้วยอาราธนาศีล วิรัติศีล สมุจเฉทศีล ศีลมันก็เกิดขึ้นจากข้อเท็จจริง ถ้าศีลมันก็เป็นขั้นเป็นตอน อาราธนาก็อาราธนากันไปเรื่อย ถ้าวิรัติเอา วิรัติเอาก็ตั้งใจเอา ถ้ามันเป็นอธิศีล อธิศีลมันก็จบของมันไป มันจบมันเป็นความจริงของมัน มันเป็นอกุปปธรรม มันเป็นความจริงอย่างนั้น

นี่ก็เหมือนกัน เวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้ามันพุทโธ พุทโธ ถ้ามันสงบขึ้นมามันก็สงบ มันก็สบายๆ นั่นแหละ แต่ถ้ามันเป็นจริงขึ้นมา ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าสมาธิมันเป็นความจริง เรายกขึ้นสู่วิปัสสนา เห็นความจริงอันนั้น ถ้าเป็นความจริงอันนั้นนะเราเป็นคนทำเอง เราเป็นคนทำเองนะ กุสลา ธัมมา อกุสลา ธัมมา เราทำมาทั้งนั้น ทำดี ทำชั่วเราทำมาทั้งนั้น เวลามันเกิดวิบากเกิดผลขึ้นมาเราจะปฏิเสธได้อย่างไร เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงได้บอกไง สิ่งใดที่เกิดขึ้น ที่มันกระทบกระเทือนเสียใจสิ่งนั้นไม่ดีเลย แต่เวลาเราทำไปเราไม่มีสติ เราขาดสติ เราทำไม่ได้ไตร่ตรอง เราทำไปด้วยอารมณ์ เราทำด้วยความพอใจของเรา แต่ถ้ามันดีมันก็ดีไป แต่ถ้าอะไรมันผิดพลาดเราก็เสียใจ

ความเสียใจ สิ่งที่ทำไปแล้วเสียใจภายหลังสิ่งนั้นไม่ดีเลย แต่สิ่งนั้นไม่ดีเลยแล้วจะแก้ไขอย่างไรล่ะ มันจะแก้ไขถ้าเรามีสติมีปัญญา มีสติปัญญาทำสิ่งใด ทำสิ่งใดทำให้จริงให้จัง สิ่งที่เราทำ เราไม่เคยทำก็ผิดพลาดเป็นเรื่องธรรมดา การทำงาน ทำงานเขายังผิดพลาดเลย แล้วการภาวนาจะให้มันถูกต้องดีงามไปที่ไหน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปรื้อค้นกับศาสดาต่างๆ ๖ ปีนะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าย้อนกลับมาในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง ความจริงอันนี้มันเกิดขึ้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เองโดยชอบ โดยชอบเพราะมันมีสัจจะมีความจริง

เวลาไปพูดกับปัญจวัคคีย์ ถ้าไม่มีกิจจญาณ สัจจญาณในหัวใจของเรา เราจะไม่ปฏิญาณตนว่าเป็นพระอรหันต์ ถ้ามันจะเป็นพระอรหันต์มันต้องมีเหตุมีผลสิ ถ้าไม่มีเหตุมีผล มันลอยๆ มาเทาๆ จะว่าไม่ใช่มันก็ใช่ จะว่าไม่ใช่เพราะอะไร เพราะถ้ามันไม่ใช่เวลาปฏิบัติแล้วมันจะมีความว่างอย่างนี้ได้อย่างไร มันจะมีความสุขได้อย่างไร มันมีความว่าง มันมีความสุขของมันนะ แต่สุขอย่างนี้มันสุขหญ้าปากคอก

สุขใหม่ๆ สุขแบบกิเลสมันยังไม่รู้ทัน กิเลสมันยังไม่ตื่น เวลากิเลสมันตื่นขึ้นมาแล้วนะ เวลากิเลสมันตื่นขึ้นมามันเหยียบย่ำหัวใจนะ มันทำลายหมดเลย แล้วทำลายหมดเลย แล้วทีนี้จะปฏิบัติก็ปฏิบัติยากแล้ว แล้วกิเลสมันก็ซ้ำเติม อ๋อ เราทำมาขนาดนี้มันว่างๆ แล้ว ว่ามันเป็นคุณธรรมแล้ว แล้วเวลามันเสื่อมไปแล้วมันก็หายไปหมดเลย แสดงว่าธรรมะไม่มีอยู่แล้วล่ะ เราทำขนาดนี้ยังไม่ได้ผลประโยชน์ มันซ้ำเติมเลย กิเลสมันซ้ำเติมทันทีเลย ถ้าเราทำเพราะอะไร เพราะเราทำแล้ว เราทำแล้ว เรารู้แล้ว เราเห็นแล้ว แต่มันยังเป็นอนิจจัง มันไม่คงที่ เพราะมันเทาๆ ไง มันไม่เป็นความจริงไง

ถ้ามันเป็นความจริง ตั้งสตินะ ตั้งสติกำหนดพุทโธ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิทำของเรา งานการภายนอกเรายังอุตส่าห์ขวนขวายอาบเหงื่อต่างน้ำกันขนาดนี้ ถ้างานความจริงจากภายใน งานความจริงจากภายใน อัตตสมบัติ สมบัติของเราเราต้องมั่นคง เราต้องทำจริงทำจังของเรา เพราะมันเป็นสมบัติของเรา ถ้า ถ้าใครสร้างบุญกุศลขึ้นมา ขิปปาภิญญา ปฏิบัติง่ายรู้ง่าย นั่นเป็นอำนาจวาสนาของเขา อำนาจวาสนาของเขา เขาต้องสร้างบุญกุศลของเขามาพอสมควร

ไอ้ของเราทำมา ขาดตกบกพร่องขนาดไหน แต่ในปัจจุบันนี้ ในปัจจุบันนี้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา คนเราจะมีวิกฤติขนาดไหนเขามีปัญญาของเขา เขามีกำลังใจของเขา เขาทำสิ่งใดประสบความสำเร็จของเขาทั้งนั้น เพราะเขามีปัญญาของเขา ปัญญามันแก้ไข มันแยกแยะมันทำได้ทั้งนั้นแหละ ทีนี้ปัญญาอย่างนี้ถ้ามันมีสมาธิมารองรับ ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าปัญญาที่มีสัมมาสมาธิมันเป็นโลกุตตรปัญญา ปัญญาเหนือโลก ปัญญาที่มหัศจรรย์ แล้วเกิดจากไหน เกิดจากผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ

เริ่มต้นก็เกิดจากสมอง เริ่มต้นก็เกิดจากค้นคว้าจากสถานะของความเป็นมนุษย์ ทำไปๆ เวลามันเกิดมรรคนะ เวลาปัญญามันเกิดมันเกิดจากจิต มันเป็นความมหัศจรรย์นะ เพราะมรรคมันหมุน มรรคมันเคลื่อนไป มันเร็วมาก มันเป็นความมหัศจรรย์ ทุกคนจะบอกว่าความคิดนี้เร็วมาก เวลาสติมันตามทันความคิดมันหยุดได้มันก็มหัศจรรย์ เวลายกขึ้นสู่วิปัสสนามันมหัศจรรย์กว่า โอ๋ย ปัญญาอย่างนี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร แล้วเวลามันสมุจเฉทปหานนะ มันสำรวมนะ นี่ไงที่ว่าสมดุลๆ ที่ว่ามรรคสามัคคีๆ ทางสายกลางๆ

ทางสายกลางขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามหัศจรรย์มาก แต่ทางสายกลางของเราแบ่งซ้ายแบ่งขวา แล้วเอาลงตรงกลาง ไอ้นี่มันเป็นวิชาคำนวณใครก็ทำได้ แบ่งซ้ายแบ่งขวานะ ซ้ายขวาตรงไหนตรงกลางเอาตรงนั้นแหละ แล้วมันมีเหตุมีผลอะไรล่ะ แต่ถ้าความเป็นกลาง มัชฌิมาปฏิปทาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาล้มลุกคลุกคลานก็ทุกข์ยากนัก เวลาเป็นสมาธิก็มีความสุข เวลามันเสื่อมมันก็ทุกข์ขึ้นมาอีก เวลามันทำจนมันมั่นคงขึ้นมายกขึ้นสู่วิปัสสนา เวลาเกิดภาวนามยปัญญาเห็นความมหัศจรรย์ของมัน

เวลามันปล่อยวางขึ้นมาเป็นตทังคปหานของชั่วคราว ชั่วคราวก็ยังเทาๆ อยู่ มันมีสมุทัยเจือปนอยู่ เราฝึกหัดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถึงที่สุดถ้ามัชฌิมาปฏิปทาความสมดุลของมัน สมุจเฉทปหานขาด เราจะมหัศจรรย์ไปตลอดสายทาง แล้วถ้าเรามหัศจรรย์ไปตลอดสายทาง แล้วเวลาคนที่ประพฤติปฏิบัติใหม่เราฟังเราไม่รู้หรือ เราฟังเราไม่รู้ใช่ไหมว่าเขาสมบุกสมบันมาอย่างไร เขาขาดตกบกพร่องอย่างไร เพราะเราเคยผ่านมา ทุกคนก็ต้องผ่านมา มันรู้ถึงความสมบุกสมบัน รู้ถึงความจริงอันนั้น มันก็เป็นความจริงในหัวใจอันนั้น ความจริงในหัวใจอันนั้นมันก็อยู่ในหัวใจของเรา หัวใจที่ทุกข์ๆ ยากๆ มันเกิดจากการกระทำ

มนุษย์จะล่วงพ้นทุกข์ด้วยความเพียร ความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะของเรา เพียรจากข้างนอกเพียรหาเลี้ยงชีพ เพียรจากภายในเพียรจากหัวใจ อันนี้เพียรเพื่ออัตตสมบัติของใจดวงนี้ เอวัง